ตีแผ่ เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย

ตีแผ่ เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย 

วันนี้เราจะพาทุกคนไปตีแผ่ เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย ไปเรียนรู้ว่าการรัฐประหารนั้นคืออะไร และในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั้นมีการรัฐประหารไปแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง และการทำรัฐประหารแต่ละครั้งเป็นอย่างไรมีเหตุผลอะไรในการทำรัฐประหาร ตามไปดูกันเลย

1. รัฐประหารคืออะไร

เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย 1

รัฐประหาร คือ การเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลโดยกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือกองทัพในระบบการเมือง อย่างฉบับพลัน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและนอกรัฐธรรมนูญ และไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองและสังคม แต่หากมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองและสังคมทั้งหมด และทำการสังหารผู้นำทางการเมืองลักษณะเช่นนี้จะเรียกว่าการปฏิวัติ แต่หากทำการไม่สำเร็จนั้นจะเรียกว่า กบฎ

การรัฐประหาร เป็นเรื่องที่ไม่น่าพึงประสงค์และไม่ควรจะเกิดขึ้นกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะการทำรัฐประหารทำให้การพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครอง นั้นหยุดชะงักลงไป และส่วนใหญ่ในการรัฐประหารแต่ละครั้งในไทยก็มักจะมีการสูญเสียเลือดเนื้อจากการรัฐประหารแม้ว่าผู้มีอำนาจในการทำรัฐประหารจะไม่อยากให้มีการสูญเสียก็ตาม และประชาชนตาดำ ๆ อย่างพวกเราก็ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อเช่นกัน และหลาย ๆ คนก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย  

2. การรัฐประหารในไทย

เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย 2

นับตั้งแต่ประเทศไทยของเราได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบการปกครอง

แบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เมื่อปี 2475 มาจนถึงวันนี้ก็เรียกได้ว่าผ่านมาแล้ว กว่า 90 ปี โดยระหว่าง 90 ปีนั้น ได้มีการปฏวัติ รัฐประหาร และกบฎมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน โดยการรัฐประหารที่สำเร็จมีถึง 13 ครั้ง และล้มเหลวอีก 11 ครั้ง และการปฏิวัติอีก 1 ครั้ง โดยการทำรัฐประหารนั้นเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายนอกรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และกลายเป็นเรื่องที่คนต้องยอมรับในการทำรัฐประหารทุกครั้งไป และหลาย ๆ ครั้งในการรัฐประหารส่วนใหญ่จะเป็นการ

รัฐประหาร เพราะคนในประเทศกลุ่มหนึ่ง หรือกลุ่มผู้มีอำนาจด้วยกันเองไม่พอใจในการทำงานของรัฐบาล และเห็นว่าการทำงานของรัฐบาลไม่โปร่งใส มีการทุจริตคอรัปชั่นที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จึงรวมตัวกันในการประท้วง และเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในประเทศที่ไม่สามารถจะควบคุมได้ จึงทำให้มีการเข้ามาของกลุ่มผู้มีอำนาจในการทำรัฐประหารซึ่งก็มักจะอ้างว่าเข้ามาเพื่อคลี่คลายและแก้ไขปัญหาของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในขณะนั้นโดยปัญหานั้นไม่สามารถแก้ไขได้ในรัฐสภาจึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ไว้ จึงนำไปสู่หนทางแห่งการรัฐประหารของกลุ่มผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด  

3. การรัฐประหารในไทยครั้งที่ 1-3

เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย 3

การรัฐประหารครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 เมษายน 2476  เป็นการรัฐประหารโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เนื่องจากการเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ ที่เรียกว่า สมุดปกเหลือง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าคล้ายเค้าโครงเศรษฐกิจของคอมมิวนิสต์ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ยกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยไม่มีผู้รับสนอง และประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาฯ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา

ใช้กำลังทหารล้อมสภาไว้และสั่งปิดสภา พร้อมอาวุธปืนและลูกระเบิดตรวจค้นสมาชิกสภาฯก่อนที่จะเข้าประชุม และได้บีบบังคับให้นายปรีดี พนมยงค์เดินทางออกนอกประเทศ เรียกได้ว่าเป็นการรัฐประหารเงียบ 

การรัฐประหารครั้งที่ 2 วันที่ 20 ก.ย. 2476 เป็นการรัฐประหาร โดย พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งเป็นผลจากการตึงเครียดเมื่อครั้งมีการรัฐประหารในครั้งที่ 1 ของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาฯ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะรัฐบาลกระทำการที่เป็นเผด็จการ ทำลายระบอบใหม่

การรัฐประหารครั้งที่ 3 วันที่ 8 พ.ย. 2490 เป็นการรัฐประหารนำโดย พลโท ผิน ชุณหวัณ โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า คณะทหารของชาติ ซึ่งการรัฐประหารครั้งนี้เป็นการรัฐประหารโดยกลุ่มทหารนอกราชการ ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยอ้างเหตุผลในการรัฐประหารว่า รัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารแผ่นดินส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง และมีการฉ้อราษบังหลวงในกลุ่มราชการ และไม่สามารถจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในชาติได้เพราะไม่สามารถที่จะชี้แจ้งได้ในกรณีการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และสนับสนุนให้ จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นทั้งหัวหน้าคณะรัฐประหารและผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย 

ประกาศยุบสภาพร้อมกับยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 และนำร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญตุ่มแดงออกมาใช้ และรัฐธรรมนูญที่ว่านี้ กำหนดให้รัฐสภา มีวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร โดยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งวุฒิสภาให้มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งและมอบหมายให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และในการรัฐประหารครั้งนี้ส่งผลให้กลุ่มของคณะราษฎร เช่น พลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์ และนายปรีดี พนมยงค์รวมทั้งคณะรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล

ต้องลี้ภัยทางการเมือง 

4. การรัฐประหารในไทยครั้งที่ 4-6

เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย 4

การรัฐประหารครั้งที่ 4 วันที่ 6 เม.ย. 2491 เป็นการรัฐประหารของกลุ่มคณะรัฐประหารเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ย. กลุ่มที่สนับสนุน จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้ทำการยึดอำนาจนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเรียกร้องให้จ่ายเงิน 28 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับจากเชียงตุง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีการสร้างวาทกรรมด้านการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับคณะทหารของประเทศชาติ แต่นายควง อภัยวงศ์ไม่ยินยอมจ่ายเงินจำนวนนี้ให้ จึงบังคับให้นายควง อภัยวงศ์ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 เม.ย.2491 และให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม

เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่ารัฐบาลนายควง ไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาภาวะเศรษฐกิจของประเทศได้ เป็นการรัฐประหารที่ทำการภายในโดยมีนายทหารเพียงไม่กี่คน และไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนย้ายกำลังพลใด ๆ จึงเรียกรัฐประหารนี้ว่าเป็นรัฐประหารเงียบ และสื่อมวลชนได้เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การจี้นายกรัฐมนตรี

การรัฐประหารครั้งที่ 5 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นการรัฐประหารที่แตกต่างไปจากการรัฐประหารที่ผ่าน ๆ มาคือ เป็นการรัฐประหารตัวเอง คือยึดอำนาจตัวเองของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยเป็นการสร้างวาทกรรมภัยคอมมิวนิสต์คุกคามอย่างรุนแรงเข้ามาแทรกแซงในคณะรัฐมนตรีกับรัฐสภา โดยรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขเรื่องคอมมิวนิสต์นี้ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492 ที่ใช้นั้นไม่เอื้อต่ออำนาจ ก็คือ ผู้ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาไปเป็นข้าราชการประจำไม่ได้ เพราะรัฐบาลของคณะรัฐประหารไม่มีพรรคการเมือง และยังมีการคอร์รัปชั่นจนเป็นที่น่าวิตกว่าประเทศจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐประหารได้ประกาศยุบสภาและยุบคณะรัฐมนตรี และตั้งคณะบริหารประเทศขึ้นมาชั่วคราว โดยแต่งตั้งสมาชิกสภาประเภท 2 ซึ่งจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศโดยมี จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเป็นการสนับสนุนจากพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

การรัฐประหารครั้งที่ 6  วันที่ 16 กันยายน 2500 เป็นการรัฐประหารโดยการนำของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาทหารบก เพื่อล้มอำนาจของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยยุติการเมืองสามเส้า และเข้าสู่ยุคการเมืองพ่อขุนอุปภัมถ์แบบเผด็จการและเผด็จการทหาร เนื่องจากขั้วอำนาจของ จอมพล ป. และพลตำรวจเอกเผ่า ได้แพ้ต่ออิทธิพลของ ขั้วอำนาจกลุ่มเจ้าเนื่องด้วย จอมพล ป. ได้นำตัวปรีดี พนมยงค์กลับประเทศเพื่อค้ำจุนอำนาจของตน ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสถาบันพระมหากษัตริย์มีความเสื่อมลงเนื่องจาก มีการเลือกตั้งที่มีการโกงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้นิสิตจุฬาลงกรณ์และมหาวิทยาลัยพร้อมกับประชาชนร่วมเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งและจอมพล ป. สั่งประกาศภาวะฉุกเฉินและแต่งตั้งจอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้ปราบการชุมนุม แต่จอมพลสฤษดิ์กลับเดินนำขบวนผู้ชุมนำเพื่อยุติการเมืองสามเส้าครั้งนี้และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2475 ฉบับแก้ไขปี 2495

5. การรัฐประหารในไทยครั้งที่ 7-9

เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย 5

การรับฐประหารครั้งที่ 7 วันที่ 20  ตุลาคม 2501 การรัฐประหารครั้งนี้สืบเนื่องจาก จอมพล สฤษดิ์รัฐประหารในปี 2500 ในรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้มอบหมายให้พจน์ สารสินดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดการเลือกตั้ง และวันที่ 1 ม.ค.  2501 พลโทถนอม กิตติขจร ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจากการเมืองในรัฐสภาไม่สงบเพราะ ส.ส. ในสภาเรียกร้องเอาผลประโยชน์และมีการขู่หากไม่ได้ตามที่ร้องขอก็จะทำการถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล และพลโทถนอม กิตติขจร ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ จึงได้ลากออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งยังไม่ได้มีการประกาศแต่อย่างใด  ให้กับประชาชนทราบ จากนั้นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงได้ประกาศยึดอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างถึงความไม่มั่นคงของประเทศถูกคุกคามทางลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยให้มีคำสั่งคณะปฏิวัติและยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่ใช้ในขณะนั้น 

ยุบสภา และยกเลิกสถาบันการเมือง ซึ่งการปฏิวัติครั้งนี้จึงเป็นการยกเลิกการเมืองแบบเดิม โดยมีคณะปฏิวัติผู้ซึ่งมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศและได้ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรไทยแบบไม่มีกำหนด ตั้งแต่ 20 ต.ค. 2501 เป็นต้นไป  หลังจากสภาร่างรัฐธรรมนูญเสนอจอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 9 ก.พ. 2502 คณะปฏิวัติจึงได้สิ้นสุดลง

การรัฐประหารครั้งที่ 8 วันที่ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 เป็นการรัฐประหาร โดยจอมพลถนม กิตติขจร ได้ยึดอำนาจของตัวเอง ซึ่ง ณ ตอนนั้น จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ทำรัฐประหารตัวเอง เนื่องจาก นายญวง เอี่ยมศิลา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานีและ ส.ส.อีกหลายคนได้มีการเรียกร้องผลตอบแทนที่จอมพลถนอมได้เคยสัญญาว่าจะให้ในช่วงเลือกตั้ง แต่กลับไม่ได้รับการตอบแทนตามที่สัญญาไว้และขู่จะลาออกบ้าง ทำให้จอมพลถนอม กิตติขจร ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ยกเลิกวุฒิสภา ยกเลิกคณะรัฐมนตรีและให้หัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ประกาศกฏอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ยกเลิก พรบ.การเมือง 2511 จัดตั้ง สภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ ซึ่งมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นประธานสภาคณะปฏิวัติ ในการปฏิวัติครั้งนี้เป็นเพียงการกระชับอำนาจของจอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อจัดการกลุ่มพลังในรัฐสภาพที่ไม่อาจควบคุมได้  โดยวันที่ 15 ธันวาคม 2515 ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2515 เพื่อออกกฎหมายและอนุมัติร่างรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรีเสนอมาให้พิจารณาและมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐบาลได้แต่ห้ามอภิปรายหรือซักถามเพิ่มเติมและไม่มีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ห้าม

รัฐมนตรีเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้มีมติให้จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

การรัฐประหารครั้งที่ 9 วันที่ 6 ต.ค. 2519 เป็นการรัฐประหารนำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช 

ในวันที่ 19  กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร เดินทางกลับไทยและบวชเป็นพระภิกษุ ได้เกิดมีการประท้วงขับไล่ในหลายจังหวัดและต่อมาพบศพชาย 2 คนถูกแขวนคอที่ข้างถนนจังหวัดนครปฐม โดยมีความเชื่อว่าเป็นการกระทำของตำรวจ เพราะว่าผู้ตายทั้งสองคนเป็นคนที่ไปปิดโปสเตอร์ประท้วงพระถนอม และนักศึกษาได้นำกรณีนี้ไปแสดงเป็นละครที่ ม.ธรรมศาสตร์ และได้เกิดการกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากมีการแต่งหน้าเหมือนองค์รัชทายาท จึงมีกลุ่มติดอาวุธเข้าล้อม ม.ธรรมศาสตร์ มีความรุนแรงเกิดขึ้นโดยการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในธรรมศาสตร์ ทำให้ตำรวจตระเวนชายแดน ลูกเสือชาวบ้าน กล่มอันธพาลบุกเข้าไปทำร้ายนิสิตนักศึกษาได้รับ

บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา และรัฐบาล ม.ร.ว เสนีย์ ปราโมช ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบได้ เป็นเหตุให้คณะทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ร่วมด้วยอธิบดีกรมตำรวจ โดยเรียกว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดยพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ ยึดอำนาจการปกครอง ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และใช้คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเป็นกฎหมายในการปกครองชั่วคราวประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรี

6. การรัฐประหารในไทยครั้งที่ 10-13

การรัฐประหารครั้งที่ 10 วันที่ 20 ตุลาคม 2520 เป็นการรัฐประหารโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด สืบเนื่องจากการรัฐประหารเมื่อ 6 ต.ค. 19 ที่นำโดยพลเรือเอกสงัด ได้แต่งตั้งนายธานินทร์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ซึ่งรัฐบาลมีภารกิจที่ต้องทำคือ ปฏิรูปการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน 12 ปี และทางคณะปฏิรูปมองว่านานเกินไป และสถานการณ์ในช่วงนั้นก็ยังไม่สงบ จึงได้ประกาศรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง และการรัฐประหารครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการรัฐประหารตัวเองเพื่อกระชับอำนาจ โดยให้เหตุผลในการรัฐประหารครั้งนี้ว่า รัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพได้ และยังปิดกั้นทางด้านความคิดของประชาชน รวมถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการลอบวางระเบิดใกล้ที่ประทับของ รัชกาลที่ 9 ในจังหวัดยะลา

การรัฐประหารครั้งที่ 11 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 เป็นการรัฐประหารโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหวัณโดยเรียกว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 แทน แต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยการรัฐประหารครั้งนี้ให้เหตุผลด้วยกัน 5 ข้อ คือ  การทำลายสถาบันทหาร มีพฤติการณ์การฉ้อราษฎร์บังหลวง รัฐบาลเป็นเผด็จการรัฐสภา การบิดเบือนคดีล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ปี 2525 ข้าราชการการเมืองใช้อำนาจกดขี่ข้าราชการประจำที่ซื่อสัตย์สุจริต 

การรัฐประหารครั้งที่ 12 วันที่ วันที่ 19 กันยายน 2549 การรัฐประหารครั้งนี้ภายใต้การนำโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นการยึดอำนาจก่อนมีการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากที่การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนเมษายนได้สั่งให้เป็นโมฆะ จึงทำให้เกิดเป็นวิกฤตทางการเมือง นับแต่เดือนกันยายน 2548 เป็นต้นมา คณะรัฐประหารได้สั่งยกเลิกการเลือกตั้งทีมีกำหนดจัดในเดือน ต.ค. ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 สั่งยุบรัฐสภา ยับยั้ง

และตรวจพิจารณาสื่อ ประกาศใช้กฎอัยการศึก จับกุมรัฐมนตรีหลายคนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 และแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยให้เหตุผลการทำรัฐประหารครั้งนี้คือ การบริหารของรัฐบาลก่อปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย คนในชาติขาดความสามัคคีอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ต่างจะเอาแต่ชนะด้วยวิธีการที่หลากหลายรูปแบบและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น มีการบริหารที่ส่อไปทางทางทุจริต ประพฤติมิชอบขยายออกไปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งหน่วยงานองค์กรอิสระก็ถูกครอบงำทางการเมือง และหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์  การรัฐประหารครั้งที่ 12 วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีหลังจากที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งปี 2554 นำโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรม หรือขณะนั้นเรียกกันว่าพรบ. นิรโทษกรรมสุดซอย ทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่ม กปปส (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สูมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) จัดตั้งโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ 2 ก.พ. แต่การเลือกตั้งไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะการต่อต้านของ กลุ่ม กปปส. และศาลสั่งใหการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ประกอบกับวันที่ 7 พ.ค. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐมนตรีที่มีมติย้ายข้าราชการระดับสูงที่เป็นที่โต้เถียงกัน ปี  2554 พ้นจากตำแหน่งจึงส่งผลให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญส่งไพศาล รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยให้เหตุผลในการรัฐประหารครั้งนี้ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่าง ๆ และทำให้บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติโดยจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับตีแผ่ เหตุการณ์ รัฐประหาร ในไทย ซึ่งตั้งแต่การเริ่มการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ.ศ. 2475 มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ร่วมกว่า 90 ปีแล้วนั้น ไทยเราได้มีการรัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้น 13 ครั้ง โดยแต่ละครั้งก็มีทั้งรัฐประหารตัวเอง และรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีทั้งการเสียเลือดเสียเนื้อ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าเหตุผลที่เข้ามารัฐประหารนั้นต่างอ้างมาจากเหตุผลในเรื่องที่ใกล้เคียงกันในทุกยุคทุกสมัยก็คือ รัฐบาลมีแนวโน้มลัทธิคอมมิวนิสต์และไม่สามารถบริหารจัดการบ้านเมืองให้สงบสุขและมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง เกิดเหตุความไม่วุ่นวายที่ไม่สามารถจัดการได้ และในเหตุผลเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้จึงเป็นเหตุให้เข้ามารัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งในการรัฐประหารแต่ละครั้ง ประชาชนตาดำ ๆ อย่างพวกเราก็ต้องทนก้มหน้ารับผลของการรัฐประหารต่อไป และเชื่อได้อย่างแน่นอนว่าจะต้องมีเกิดขึ้นอีกในอนาคตซ้ำแล้วซ้ำอีก หากยังมีผู้มีอำนาจที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก 

เครดิตรูป
thairath

isranewsorg

matichonweekly

อ่านต่อที่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นจากอะไร ทำไมถึงเกิดขึ้นกันนะ

สล็อตเว็บตรง

ufabetflix285

สล็อตแตกง่ายๆ

Recent post

Tags
6 ตุลา (1) 14 ตุลา (1) Nirvana (1) กรุงธนบุรี (1) ควีนอลิซาเบธ ที่ 2 (1) คานธี (1) คุกเขมรแดง (1) งานเทศกาลญี่ปุ่น (1) จักวรรดิโรมัน (1) จิตร ภูมิศักดิ์ (1) ดนตรี (2) บิสมาร์ค (1) บุคคลสำคัญ (11) ปประวัติศาสตร์ไทย (1) ประวัติกรุงธนบุรี (1) ประวัติ พ่อขุนรามคำแหง (1) ประวัติ พ่อขุนรามคำแหง มหาราชผู้สร้าง ศิลาจารึก (1) ประวัติรัตนโกสินทร์ (1) ประวัติศาสตร์จีน (2) ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น (1) ประวัติศาสตร์สุโขทัย (1) ประวัติศาสตร์อยุธยา (1) ประวัติศาสตร์เชียงใหม่ (1) ประวัติศาสตร์โลก (14) ประวัติศาสตร์ไทย (16) พฤษภาทมิฬ (1) พ่อขุนรามคำแหง (1) ร.ศ. 112 (1) รัตนโกสินทร์ (2) รัตนโกสินทร์ศก (1) ศิลปวัฒนธรรม (10) สงคราม (5) สงครามเย็น (2) สงครามโลกครั้งที่ 1 (1) สงครามโลกครั้งที่ 2 (1) สรุป อารยธรรมกรีก ฉบับเข้าใจง่าย (1) อารยธรรมกรีก (1) อารยธรรมจีน (1) อารยธรรมอินเดีย (1) อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (1) ฮิเดะ (1) เทศกาลญี่ปุ่น (1) เปิดประวัติ อดอล์ฟฮิตเลอร์ จุดกำเนิด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (1) เหตุการณ์สำคัญ (12) โฮจิมินห์ (1)

เว็บไซต์น่าสนใจ

ร้านอาหารอร่อย
kinkubsher

แฟชั่นผู้ชาย
maleextratoday

แบบบ้าน
baan-design

แต่งงาน
weddingdistrictfrance

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
liqinfo