
วันนี้เราจะชวนทุกคนไปเปิดประวัติ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ว่าเขาก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของเยอรมันได้อย่างไร และการเมืองการปกครองภายใต้การนำของเขาเป็นอย่างไร และทำไมถึงกลายเป็นจุดกำเนิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และเป็นผู้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันเลย
1. ประวัติและการก้าวสู่การเมืองของฮิตเลอร์
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นชาวออสเตรีย เกิดเมื่อ 20 เม.ย. 1889 และในปี1907 เขาได้เข้าไปสมัครเรียนที่สถาบันวิจิตรศิลป์เวียนนา
แต่เขากลับได้รับการปฏิเสธมาถึงสองครั้ง หลังจากนั้นแม่ของเขาเสียชีวิต ทำให้เขาไม่มีเงิน เขาจึงต้องใช้ชีวิตแบบเร่ร่อน และมาอาศัย
บ้านพักของชายรับจ้างบนถนนเม็ลเดอมัน และระหว่างที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่ เวียนนาซึ่งเป็นแหล่งที่มีอคติและเกลียดชังยิวรวมเยอรมัน
เขาได้กลับมาที่เยอรมัน และร่วมเป็นทหารผ่านศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเขาได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก ระหว่างนั้นเขาก็ได้ก้าวเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกพรรคกรรมกรเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1919 และหลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคนาซีในปี 1921 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเขาได้ทำการรัฐประหาร โดยเป็นที่รู้จักกันในนาม กบฎโรงเบียร์
ในเมืองมิวนิก ในปี 1923 แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเขาถูกจับเข้าคุกห้าปี แต่ทว่าภายในเวลเพียงหนึ่งปี เขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา และระหว่างที่เขาจำคุกอยู่นั้นเขาก็ได้เขียนบันทึกของเขา “ไมน์คัมพฟ์” การต่อสู้ของฉัน หลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวออกมาจากคุก เขาก็ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เข้ามามีบทบาทในการปกครองและบริหารแผ่นดินเขากลับเข้ามาในสมาชิกพรรคนาซีอีกครั้ง
2. เยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์
หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคนาซีแล้ว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็ได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีและระหว่างนั้น ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรม เขาจึงได้อยู่ในฐานะประมุขของรัฐและเป็นทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และภายใต้การนำของเขาครั้งนี้ ทำให้เขาได้เปลี่ยนแปลงและแต่งตั้งคณะทำงานที่เป็นฝ่ายของเขาทั้งหมดโดยในปี 1935 ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้ง ฮียัลมาร์ ชัคท์ เป็นผู้ดูแลและมีอำนาจเต็มทางด้านเศรษฐกิจและสงคราม เพื่อฟื้นฟูและติดอาวุธใหม่ทั้งหมด โดยการฟื้นฟูครั้งนี้เขาได้รับเงินทุนจากเมโฟบิล และการพิมพ์เงิน ตลอดจนการยึดทรัพย์สินของคนที่ถูกจับในข้อหาเสี้ยนหนามแผ่นดิน รวมทั้งยิวด้วยและเขาทำให้การว่างงานลดลงหลังจากที่เขาพัฒนาการสร้างระบบสาธารณูปโภคที่นับว่าเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี และมีการสร้างเขื่อน การทางหลวงพิเศษ รถไฟ และระบบสาธารณะอย่างอื่น และเขาได้สนับสนุนในด้านกีฬา และให้มีการปฏิสังขรณ์สถาปัตยกรรมในเบอร์ลิน และได้เปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในเบอร์ลินเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงลัทธินาซี และในปี 1933 วันที่ 3 ก.พ. ฮิตเลอร์ได้กล่าวว่า เขาจะต้องพิชิตเลเบินส์เราม์ทางตะวันออกให้เป็นดินแดนของเยอรมันโดยไร้ซึ่งความปรานี นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเขา และเขาก็เตรียมปฏิบัติการทางการทหารอย่างรวดเร็วก่อนที่อังกฤษและฝรั่งเศสจะมาเป็นผู้นำในการแข่งขันด้านอาวุธอย่างถาวร โดยการปลดนอยรัทออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และเข้าครอบครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยตนเองเพราะถือว่าเป็นการปฏิบัตินโยบายต่างประเทศที่มีเป้าหมายสูงสูดคือการทำสงคราม ตัังแต่ปี 1938 เป็นต้นมา
3. การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จุดกำเนิดและการพัฒนาความเกลียดชังยิวของอิตเลอร์นั้นยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานักวิชาการและอีกหลายคนยังคงถกเถียงกันมาตลอดว่าต้นตอของการเกลียดชังยิวของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นั้นเริ่มมาจากตรงไหน เพราะในหนังสือที่เขาเขียนตอนต้องโทษจำคุกนั้นมีอยู่ตอนหนึ่งบอกว่า เขาเกลียดชังยิวครั้งแรกที่เวียนนา แต่เพื่อนของเขาที่ช่วยเหลือในด้านการขายภาพนั้นก็ยังให้ข้อโต้แย้งว่า ขณะที่ฮิตเลอร์อยู่ที่เวียนนาเขาก็ยังคงติดต่อชาวยิว และยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ขัดแย้งกันจนไม่รู้ว่าฮิตเลอร์จงเกลียดจงชังชาวยิวในช่วงเวลาใด หลังจากที่เขาเป็นผู้นำสูงสุด แนวคิดหลักของเขาก็คือเชื้อชาติที่ไม่มียิว โดยวันที่ 15 กันยายน 1935 เขาได้เสนอกฎหมายอยู่ 2 ฉบับ คือ กฎหมายเนือร์นแบร์ค ฉบับแรกว่าด้วย กฎหมายที่คุ้มครองสายเลือดเยอรมัน โดยห้ามไม่ให้ชาวเยอรมันแต่งงานหรือมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับชาวยิว และห้ามหญิงชาวเยอรมันที่อายุต่ำกว่า 45 ปี ทำงานให้กับครอบครัวชาวยิว และอีกฉบับคือกฎหมายว่าด้วยการเป็นพลเมืองไรซ์หรือพลเมืองเยอรมัน คือ คนที่มีสายเลือดเยอรมันหรือสายเลือดที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้นจึงจะเป็นพลเมืองไรซ์ ส่วนคนที่เหลือถือว่าเป็น พสกนิกรของรัฐ ด้วยหลักการที่ต้องการกำจัดยิว และต้องการยึดพื้นที่เพื่อขยายอาณาเขต เขากำหนดให้ประชากรที่อยู่ในยุโรปทางฝั่งตะวันออกและสภาพโซเวียตบางส่วนที่ถูกยึดครองนั้นให้เนรเทศไปยังไซบีเรียตะวันตก เพื่อใช้ให้เป็นแรงงานทาส หรือสังหารทิ้ง และได้มีการจัดทำค่ายไว้เพื่อกักกันและค่ายมรณะของนาซีซึ่งมีมากถึงสามสิบกว่าแห่งเพื่อใช้ในการกำจัดยิวและกลุ่มคนที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ และได้มีการฆ่าเกิดขึ้นที่เยอรมนี ทั่วทั้งทวีปยุโรปที่เยอรมนีได้ยึดครอง โดยหน่วยพิฆาตกึ่งทหารที่เรียกว่าตัวเองว่า ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ที่ให้ความร่วมมือของกองพันตำรวจแวร์มัคท์และการสนับสนุนจากท้องถิ่น ฆ่ายิวประมาณ 1.3 ล้านคนโดยการยิงสังหารหมู่ระหว่างปี 1941 ไปจนถึง 1945 และระหว่างนั้นได้เนรเทศจากเกตโตโนไปกับรถไฟสินค้าที่ปกปิดอย่างมิดชิดเพื่อนำไปค่ายมรณะ และหากใครรอดชีวิตระหว่างเดินทางให้ฆ่าในห้องรมแก๊ส ซึ่งดำเนินการฆ่าไปตลอดระยะเวลาสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดในทวีปยุโรปในปี 1945
4. สงครามโลกครั้งที่สองและจุดจบของฮิตเลอร์
สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นเมื่อ ฮิตเลอร์ต้องการที่จะยึดเมืองเลเบินส์เราม์คืน และต้องการให้ประเทศโปแลนด์เป็นอาณานิคมของเยอรมนี หรือรัฐบริวาร แต่ก็ถูกโปแลนด์ปฏิเสธทำให้ฮิตเลอร์ไม่พอใจจึงทำการบุกเข้าโจมตีโปแลนด์เพื่อยึดครองเมือง แต่ด้วยอังกฤษไม่ยอม และต้องการให้โปแลนด์เป็นเอกราช ทำให้ อดอล์ฟ อิตเลอร์ ต้องทำการศึกสงครามครั้งนี้ จึงทำให้สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 1939 ไปจนถึง 30 เมษายน 1945 ซึ่งระหว่างนี้เยอรมนีถูกโจมตีอย่างหนักจากหลายฝ่าย หลังจากที่เขารู้ว่าไม่สามารถต่อกรได้จากศัตรูและการรุกรานในครั้งนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะจบชีวิตก่อนที่จะถูกจับตัวไป โดยวันที่ 29 เมษายน 1945 ฮิตเลอร์ได้เข้าพิธีแต่งงานโดยเป็นพิธีกรรมเล็ก ๆ กับเอฟา เบราน์ ในห้องลับที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น และได้เขียนพินัยกรรมฉบับล่าสุดของเขา และในวันที่ 30 เม.ย. 1945 ฮิตเลอร์และเบราน์ได้ทำการอัตวินิบาตกรรม โดยเบราน์ได้กินไซยาไนด์ ส่วนอิตเลอร์นั้นยิงตัวเองด้วยปืนพกวัลเทอร์เพเพคา 7.65 มม. เป็นอันจบสิ้นของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และลัทธินาซี
เป็นอย่างไรกันบ้างกับการเปิดประวัติ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จากผู้นำสูงสุดของประเทศเยอรมนี ไปสู่จุดกำเนิด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวและผู้คนที่เขาไม่พึงประสงค์ยกเว้นชาวเยอรมันเพียงอย่างเดียว และด้วยความคิดสุดโต่งและไม่รู้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของการจงเกลียดจงชังชาวยิว และประกอบกับการต้องการเอาพื้นที่คืนกลับมาเป็นของเยอรมันและต้องการขยายอาณาเขตทำให้กลายเป็นชนวนในการทำสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายมหาศาลในสงครามโลกครั้งนี้ สุดท้ายเขาก็ต้องจบชีวิตของเขาโดยการทำการอัตวินิบาตกรรมตัวเอง หวังว่าสงครามโลกครั้งต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีก ขอให้โลกของเราจงสงบสุข ผู้นำแต่ละประเทศเป็นคนดีเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
เครดิตรูป
อ่านต่อที่ 10 เรื่องน่ารู้ อารยธรรมอินเดีย ดินแดนภารตะ